การผลิตใยหินครั้งแรกของเราเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1937 เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่เราได้เริ่มการสรรหาวัตถุดิบทางเลือกใหม่ๆ เพื่อที่จะนำมาใช้ในกระบวนการผลิตของกลุ่มร็อควูลเราในปัจจุบัน โดยเรามุ่งเน้นการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตสมัยใหม่
มรดกของเรา
การผลิตใยหินครั้งแรกของเราเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1937 เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่เราได้เริ่มการสรรหาวัตถุดิบทางเลือกใหม่ๆ เพื่อที่จะนำมาใช้ในกระบวนการผลิตของกลุ่มร็อควูลเราในปัจจุบัน โดยเรามุ่งเน้นการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตสมัยใหม่
ในปีนี้กลุ่มร็อควูลเราได้มีการฉลองครอบรอบ 80 ปี นับตั้งแต่มีการก่อตั้งบริษัทขึ้นมา บริษัทของเราเริ่มทำการผลิตใยหินครั้งแรกที่เมืองเฮเดฮูเซน ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเป็นเมืองที่ที่สำนักงานใหญ่ของเราตั้งทำการอยู่ด้วย การดำเนินงานทางธุรกิจอันยาวนานของร็อควูลนี้ รับได้ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา และไม่มากนักสำหรับโลกแห่งธุรกิจที่จะสามารถดำเนินงานอย่างต่อเนื่องได้เช่นนี้ และเหตุผลที่เราฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ ในการดำเนินกิจการนี้นับตั้งแต่ก่อตั้งมา มีวัตถุประสงค์เดียว นั่นก็คือ การปลดปล่อยพลังงานของหิน เพื่อนำมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่สำหรับชีวิตที่ทันสมัย และนี่คือความท้าทายของเรา
การเริ่มต้นของ เอียนส์ เบอเกอร์สัน ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของกลุ่มร็อควูลนั้น เขาได้มุ่งเน้นในการให้ความสำคัญในเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงเริ่มต้นโครงการใหม่ๆที่หลากหลายเพื่อแสดงให้เห็นจุดยืนและความรับผิดชอบที่ชัดเจน การลดทอนความซับซ้อนภายในองค์กรทุกขั้นตอน และวางแนวทางปฏิบัติเพื่อสื่อสารจุดเด่นของธุรกิจเราให้ชัดเจน รวมถึงการมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับลูกค้า ในปี ค.ศ. 2016, กลุ่มร็อควูลได้มีการเปิดตัวเป้าหมายใหม่ของกลุ่มเรา นั่นก็คือ การปลดปล่อยพลังงานธรรมชาติของหิน เพื่อเพิ่มศักยภาพของชีวิตที่ทันสมัย โดยที่ภาพรวมเป้าหมายใหม่ของเรานี้ ก็เพียงเพื่อเป็นการแสดงเจตนาที่ชัดเจนของกลุ่มร็อควูล สำหรับความรับผิดชอบในการมีส่วนร่วมในสังคม และเรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาขีดความสามารถให้กับทุกคนเพื่อลุกขึ้นเผชิญหน้ากับความท้าทายในการพัฒนาคุณภาพความเป็นอยู่ของคนในสังคม เพื่อชีวิตที่ทันสมัย โดยการนำหิน ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีมากที่สุดในโลก มาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบยั่งยืนตลอดชั่วอายุเรา จากห้องเรียนไปสู่สนามกีฬา จากพื้นที่ว่างไปสู่สถานที่สำคัญ จากที่ที่อยู่ในความฝันจินตนาการไปสู่ความจริง และทั้งหมดนี้ก็เพียงเพื่อต้องการทำให้โลกเป็นที่ที่น่าอยู่ขึ้นสำหรับทุกคน
ปีค.ศ. 2010 เริ่มมีการลงทุนโดยการเข้าซื้อกิจการโรงงานในเมืองทรอยด์ ประเทศรัสเซีย รวมถึงการเข้าซื้อกิจการธุรกิจของบริษัท Asian insulation business from the Australian Group CSR จำกัด และในปีเดียวกันนั้น มีการพัฒนานวัตกรรมสำหรับฉนวนกันความร้อนสำหรับระบบภายนอกอาคาร External Thermal Insulation Composite System (ETICS) และด้วยความรวดเร็ว ปีถัดมา ค.ศ. 2011 จึงมีการเข้าควบกิจการของบริษัทผู้ผลิตฉนวนกัน (ETICS) ของประเทศโปแลนด์ ในปีถัดมา ค.ศ. 2012 มีการก่อตั้งโรงงานแห่งใหม่ในเมืองอัลลาบูก้า ประเทศรัสเซีย และอีก 2 ปีถัดมา คือปี ค.ศ. 2014 บริษัทผู้ผลิตโครงฝ้าเพดาน ชื่อ Chicago Metallic จากประเทศสหรัฐอเมริกา และ บริษัทระบบผนังฉนวนกันความร้อนภายนอกอาคาร (ETICS) ชื่อ HECK wall ของประเทศเยอรมันได้ถูกเข้าควบรวมกิจการ และในปีเดียวกันนี้มีการสร้างโรงงานผลิต Greenfield ที่เมืองมิสซิสซิปี ประเทศอเมริกา ล่าสุดในปี ค.ศ. 2017 ได้มีการประกาศว่า จะโรงงานผลิตแห่งที่สองจะมีการก่อสร้างขึ้นในเมือง เวสต์เวอร์จิเนีย ประเทศอเมริกา
ในปี ค.ศ. 2001 หน่วยงานระหว่างประเทศด้านการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ได้ทำการจัดประเภทของฉนวนกันความร้อน หรือ ฉนวนหินภูเขาไฟของเราว่าอยู่ในกลุ่มประเภท 3 ซึ่งก็คือ ไม่จัดเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งสำหรับในร่างกายของมนุษย์ และรองรับได้ทั้งเส้นใยที่มีโครงสร้างแบบเก่าหรือใหม่ ที่เส้นใยมีความสามารถในการทนความร้อนสูง ศูนย์วิจัยโรคมะเร็งระหว่างประเทศ หรือ IARC ย่อมาจาก the World Health Organization’s cancer research institute ได้ทำการวิจัย ประเมิณผลการตรวจสอบนับพันๆครั้งว่า เพราะลักษณะทางโครงสร้างของเส้นใยในฉนวนใยหินภูเขาไฟของเราที่มีขนาดใหญ่และปลายมน จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ และ ไม่ก่อให้เกิดมะเร็งอย่างแน่นอน
ในปี ค.ศ. 2000 โรงงานในเมืองมะละกา ประเทศมาเลเชียถูกควบกิจการ และในปีเดียวกันนี้ได้มีการเปิดดำเนินการของ โรงงาน Greenfield ในเมืองคาปารัซโซ ในประเทศสเปนไปพร้อมกัน หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 2004 เราเล็งเห็นว่าการเข้าซื้อโรงงานชื่อ Hungarian Isolyth และตึกอาคารสำนักงานในเมือง ประเทศรัสเซีย เป็นการเพิ่มฐานการผลิต ปีถัดมา ค.ศ. 2005 ได้มีการตัดสินในการสร้างโรงงาน Greenfield ในโครเอเชีย หลังจากนั้นมาอีก 1 ปี คือในปีค.ศ. 2006 ได้มีการเปิดตัวในการสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเมืองซิกาซีซี่ ประเทศโปแลนด์ และล่าสุดในปี ค.ศ. 2008 มีการตัดสินใจในการสร้างโรงงานผลิตอีกแห่งในรัฐคุชราต ประเทศอินเดีย
สนธิสัญญาเกียวโตเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศครั้งแรก เกี่ยวกับการขอความร่วมมือให้แต่ละประเทศนั้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยสนธิสัญญานี้เกิดจากกรอบอนุสัญญาประชาชาติเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ UNFCCC ซึ่งได้รับการลงนามจากเกือบทุกประเทศทั่วโลกในที่ประชุมปีค.ศ. 1992 และเป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าถือเป็นการประชุมครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของโลก โดยสิ่งนี้เองนับเป็นก้าวสำคัญของประวัติศาสตร์ร็อควูล ที่สร้างความตระหนักว่าฉนวนกันความร้อนมีส่วนสำคัญในการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดต์ออกไซต์ นอกจากนี้ยังมีการอภิปรายในสหภาพยุโรปเกี่ยวกับวิธีการลดการใช้พลังงาน และความมั่นคงทางด้านพลังงาน ซึ่งบทสรุปนี้มาจากเอกสารของสหภาพยุโรปที่ถูกนำเสนอในปีค.ศ. 2000 โดยเอกสารฉบับแรกระบุว่าการใช้พลังงานทั้งหมดเกิดจากการใช้พลังงานภายในตัวอาคารซึ่งเป็นจำนวนถึง 40.3 เปอร์เซ็นต์
สำนักงานใหญ่ของกลุ่มเทคโนโลยี ถูกจัดตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1992 เพื่อรับผิดชอบการประสานงานในระดับโลกด้านการผลิต สิ่งแวดล้อม การลงทุน การขนส่ง การวิจัยและการพัฒนา ตลอดจนการสร้างบรรทัดฐาน มาตรฐาน สิทธิบัตร และวิศวกรรม รวมถึงทุกสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นจะถูกออกแบบและติดตั้งด้วยอุปกรณ์การผลิต เพื่อส่งต่อไปยังสายการผลิตและอุตสาหกรรมภาคโรงงาน และนั่นมาตรฐานที่เราใช้เพื่อพัฒนาและสร้างรากฐานให้กับความเป็นผู้นำระดับโลกของร็อควูลในการผลิตฉนวนหินภูเขาไฟ
ในปีค.ศ. 1996 นั้น ROCKWOOL International ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ แนสแด็ก เมืองโคเปนเฮเกน โดยหุ้นของบริษัทนั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท นั่นก็คือ ROCKWOOL A และ ROCKWOOL B โดยที่ ROCKWOOL A จะถือครองเสียงโหวต จำนวน 10 เสียง ส่วน ROCKWOOL B นั้นมีจำนวนเสียงโหวตเพียงแค่เสียงเดียว โดยปัจจุบัน ROCKWOOL Foundation เป็นผู้ถือหุ้น 23 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มทำให้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด
ในปีค.ศ. 1999 เราได้ทำการเข้าซื้อกิจการโรงงานที่ประเทศรัสเซียใกล้เมืองมอสโก และในปีเดียวกันนั้นเองเราก็ได้ทำการเข้าซื้อกิจการโรงงานในประเทศแคนาดาที่เมืองแกรนด์ฟอร์กส์ และ ประเทศอิตาลี่ เมืองซาร์ดิเนีย และได้ทำการปิดลงภายหลังต่อมา แต่ก่อนการขยายโรงงานไปยังประเทศรัสเซียนั้น เราได้เข้าซื้อกิจการโรงงานในฝั่งตะวันออกของเยอรมนีในปีค.ศ. 1991 หลังจากนั้นในปีค.ศ. 1993 และ 1995 เรายังคงเข้าซื้อกิจการโรงงานเพิ่มอีก จำนวน 2 แห่งที่ประเทศโปแลนด์ เมืองซิกาซิก และ เมืองโกแฟนตา จนกระทั่งในปีค.ศ. 1997 ยังคงเข้าซื้อกิจการโรงงานต่อไปยังประเทศฮังการี และสาธารณรัฐเช็ก ส่วนโรงงานในเมืองโบฮูมินนั้นถูกเข้าซื้อกิจการในปีค.ศ.1998 และการผลิต Rockfon นั้นเริ่มมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1992 ที่ Saint-Eloy-les-Mines ประเทศฝรั่งเศส จนในปีค.ศ. 1997 Rockdelta ได้รับการผลิตขึ้นครั้งแรกเพื่อนำเสนอวิธีการควบคุมการสั่นสะเทือน และมลภาวะทางเสียง
มูลนิธิร็อควูลก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1981 โดย นายฟลาวส เฮลา และพี่น้องทั้งห้าคน แต่ละท่านได้บริจาคหุ้นที่ตนถือครองอยู่ให้แก่มูลนิธิ ณ เวลานั้นถือว่าเป็นสัดส่วน 25 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนหุ้นทั้งหมด จึงถือได้ว่าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากลุ่มร็อควูลในอนาคต มูลนิธิเราเป็นมูลนิธิอิสระที่มีงบประมาณเพื่อใช้ในการสนับสนุนภายในองค์กรเรา มีวัตถุประสงค์ในการสร้างความรู้ และจัดการปัญหาต่างๆที่สังคมกำลังเผชิญในปัจจุบันได้
สิ่งที่เราใช้ผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทำให้สัมฤทธิ์ผลในสังคม และภาคเศรษฐกิจอย่างเสมอภาพ ซึ่งงานหลักของมูลนิธินั้นคือการมุ่งเน้นเรื่องของความยั่งยืนเกี่ยวกับสวัสดิการสังคม ผ่านการดำเนินงานวิจัยภายในองค์กรโดย ROCKWOOL Foundation Research Unit และนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญภายนอกองค์กร
ในปีค.ศ. 1982 เริ่มมีการใช้เครื่องปั่นหินเพื่อทำการปั่นหินให้เป็นใยหินในอุณหภูมิที่สูง ซึ่งถือเป็นการนำเอาเทคโนโลยีใหม่เข้ามาพัฒนา และเพิ่มคุณภาพของการผลิตใยหิน ส่งผลให้ได้ใยหินที่มีความสามารถในการทนต่ออุณหภูมิได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานสำหรับการผลิตใยหินในปัจจุบัน จึงถือได้ว่าเป็นการยกระดับการพัฒนาการผลิตใยหินจากเดิมของปีค.ศ. 1970 และกำหนดมาตรฐาน และทิศทางใหม่ของตลาดใยหิน
CONROCK A/S ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ เป็นศูนย์รวมโดยใช้องค์กรขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวในการพัฒนา และทำการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในบรรดานวัตกรรมการผลิตฉนวนกันความร้อน ของ CONROCK ฉนวนกันความร้อนร้อนรุ่น Conlit ที่ถูกใช้ในงานสำหรับการป้องกันปัญหาอัคคีภัยในตัวอาคาร และ ฉนวนกันความร้อนรุ่น Rocklit ซึ่งเป็นแผ่นที่มีความหนาแน่นสูงโดยออกสู่ตลาด ภายใต้ชื่อ Rockpanel โดยทั้ง 2 นวัตกรรมถือเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า เราประสบความสำเร็จในด้านสายการผลิตภาคอุตสาหกรรม และผลประกอบการทางธุรกิจ นอกจากนี้ในปีค.ศ. 1985 ได้มีการย้ายแหล่งการผลิตเส้นใย ได้มีการย้ายการปั่นใยหินไปที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และต่อมาได้จัดตั้งบริษัท Lapinus Fibre ซึ่งภายหลังได้แยกตัวออกมาโดยปัจจุบันคือบริษัท Lapinus ผลงานที่โดดเด่นของบริษัท และเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องการจัดการน้ำในเมือง และถือเป็นความท้าทายของสังคมสมัยใหม่
ในปีค.ศ. 1981 ถึงปี 1988 นั้น กลุ่มร็อควูลได้เริ่มนำเอา tailor-made-moulded ออกสู่ตลาดภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ว่า Rockform สำหรับการใช้งานในคุณสมบัติต่างๆ อย่างมากมาย เช่น นำไปใช้เป็นฉนวนกันเสียงในเครื่องดูดฝุ่น ฉนวนกันความร้อนในเตาอบก๊าซธรรมชาติ และสำหรับใช้ปล่องไฟบนเรือ ประสบการณ์ต่างๆจากการทำธุรกิจนี้ เราได้นำเอามาพัฒนา และต่อยอดธุรกิจอื่นๆของร็อควูลอย่างมากมาย เช่น การทำเพดานกันเสียง, แผ่นผนังภายนอกสำหรับหุ้มอาคาร, และทางเลือกใหม่ของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน เป็นต้น
ในปีค.ศ. 1987 นั้น ทอม คาลเลอร์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารสูงสุดต่อจากบิดาของเขา จากความสำเร็จในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัท ROCKWOOL International A/S. โดยในฐานะผู้บริหารสูงสุด และประธานคณะกรรมการผู้บริหาร ทอมได้วางรากฐานให้บริษัทร็อควูล ทำให้ร็อควูลก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจฉนวนกันความร้อน จากการเดิมบริษัทได้เริ่มสร้างธุรกิจในประเทศรัสเซีย และฝั่งทวีปเอเชีย ทั้งนี้ตั้งแต่เขาได้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดนั้นทำให้บริษัทร็อควูลขยายกิจการไปอย่างมากมาย โดยมีเริ่มจากประเทศที่เป็นสถานที่ผลิต ROCKWOOL เพิ่มขึ้นจาก 6 ประเทศ เป็น 14 ประเทศ เพียงในช่วงระยะเวลา 17 ปี และนี่คือจุดเริ่มต้นการปูทางการขยายสาขา และพัฒนาธุรกิจต่อไปในอนาคต
ในปี ค.ศ. 1980 ได้มีการก่อตั้งบริษัท ROCKWOOL Isolation S.A. โดยมีสำนักงานขายในกรุงปารีสที่ Saint-Eloy-Les-Mines และปีค.ศ. 1985 เราได้ทำการเข้าซื้อกิจการโรงงานที่เมือง Hiltrup ประเทศเยอรมัน โดยในปีเดียวกันก็ได้ก่อตั้งสำนักงานขายที่ประเทศออสเตรีย นอกจากนั้นเราได้เริ่มกิจการที่ประเทศอิตาลี และประเทศสเปน ในปี ค.ศ. 1989 ตามลำดับ อีกทั้งในปี ค.ศ. 1988 เราได้ก่อตั้งบริษัท ROXUL Inc. ที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา และในปีต่อๆมา เราได้สร้างโรงงานเพิ่มอีก 4 แห่งทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศแคนาดา สิ่งนี้เป็นการบ่งบอกได้ว่าร็อควูลเรานั้นค่อยๆเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง โดยมีโรงงานฐานการผลิตและจำนวนพนักงานถึง 1,000 คน ทำให้ ROXUL เป็นผู้ผลิตฉนวนใยหินภูเขาไฟรายใหญ่ที่สุดของทวีปอเมริกาเหนือ โดยนำเสนอฉนวนกันความร้อนที่มีศักยภาพสำหรับการนำใช้งานขั้นสูงทั้งภายในอาคาร และภาคอุตสาหกรรม
การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยีการผลิตเส้นใยหินของ ROCKWOOL ตลอดจนการแสวงหาความแนวคิดใหม่ นวัตกรรมใหม่ๆ ถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับกลุ่มงานวิจัยและพัฒนาภายในองค์กรเรา โดยที่ในปี ค.ศ. 1970 เราได้พัฒนาเส้นใยที่สามารถใช้แทนที่วัสดุอื่นสำหรับการใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีมากยิ่งขึ้น เช่น น้ำมันดิน สี กาว เป็นต้น เราได้เปิดตัวเครื่องปั่นหินให้เป็นใยหิน ในปีค.ศ. 1974 ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่ล้ำสมัยในคริสศตววษนั้น และเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แสดงให้เห็นว่าเราเน้นให้ความสำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดี และความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่ด้วยกัน
ตลอดทศวรรษของบริษัทมีการพัฒนาและขยายธุรกิจเป็นอย่างมาก และนั่นทำให้ ROCKWOOL ได้ตัดสินใจจดเทียนจัดตั้งเป็นบริษัทมหาชนขึ้นในปี ค.ศ. 1976 เรียกว่า ROCKWOOL international A/S โดยที่ 50 เปอร์เซ็นต์ของหุ้นนั้นถูกเข้าซื้อโดย Nederlandse Steewolfabrik ที่เมืองลิมบูร์ก ประเทศเนเธอร์แลนด์ และหุ้นส่วนที่เหลืออีก 50 เปอร์เซ็นต์ใน ROCKWOOL AB ถูกขายให้กับรัฐสวีเดนซึ่งทำให้เป็นเจ้าของหุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมด ทั้งนี้โรงงานที่โดเอนเซเริ่มดำเนินกิจการในปี ค.ศ. 1977 ต่อมาในภายหลังบริษัทสาขา Grodania และ Rockfon ถูกก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1987 จนกระทั่งปลายทศวรรษในปี ค.ศ. 1979 จึงได้จัดตั้ง ROCKWOOL Limited ที่เมืองบริดเจนด์ ประเทศอังกฤษ
ทอม คาลเลอร์ ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทในปี ค.ศ. 1987 ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กร ในปีเดียวกันจนกระทั้ง ปี ค.ศ. 2004 เมื่อ เอลโค่ แวน เฮล ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานฝ่ายปฏิบัติการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสืบทอดตำแหน่ง และตัวเขาได้รับตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบอร์ดผู้บริหารในปี ค.ศ.2004 โดยก่อนหน้าที่เขาจะเข้าร่วมกลุ่มร็อควูลนั้นในปี ค.ศ. 1987 นั้น เขาได้อุทิศตนทำงานให้กับบริษัทหลายแห่ งหลังจากสำเร็จการศึกษาในฐานะวิศวกรโยธา รวมถึงการจัดตั้ง Ecoterm ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนของเขาเองกับน้องเขย Keld Jepsen โดยที่บทบาทสำคัญต่อร็อควูลของเขานั้นเกิดจากการก่อตั้ง ROCKWOOL Group ที่ประเทศแคนาดาและขับเคลื่อนจนกลายเป็นผู้จำหน่ายฉนวนใยหินกันความร้อนรายแรกของตลาดทวีปอเมริกาเหนือ
การพัฒนาในช่วงต้นทศวรรษปีค.ศ. 1970 ของ Spinrock fibres ซึ่งช่วยภาคอุตสาหกรรมนำมาใช้แทนที่ใยหิน asbestos จนนำไปสู่แนวคิดการรีไซเคิลของ ROCKWOOL โดยคนงานในโรงงานที่ Hedehusene ประเทศเดนมาร์กพบว่าผลิตภัณฑ์ที่ทำจากใยหินแบบเก่าสามารถนำมารีไซเคิล หากนำไปบดและผสมจนเกิดเป็นอิฐถ่านหินก้อนที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ โดยได้ทำก้อนแรกในปีค.ศ. 1987 สำหรับ Spinrock และต่อมาในปีค.ศ. 1979 กระบวนการนี้ได้ผ่านการทดสอบและนำมาใช้ในโรงงานแห่งเดิม โดยเป็นการสร้างรากฐานสำหรับแนวคิด "วัตจักรการหมุนเวียน" โดยการรีไซเคิลสิ่งที่ทิ้งไปแล้วจากกระบวนการผลิตจนเป็นสิ่งที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ของกลุ่มร็อควูลนั้นได้ถูกทำต่อไปในปีต่อๆมา จนเป็นแบบแผนการรีไซเคิลขยะของงานก่อสร้างภายนอกและการรื้อถอนของเสียอย่างเป็นครอบคลุม
โครงการนี้สร้างขึ้นในช่วงวิกฤตน้ำมันครั้งที่สองของปีค.ศ. 1987-1980 เรียกว่า The Hjortekar หรือโครงการทดสอบบ้านพลังงานต่ำในประเทศเดนมาร์ก แสดงให้เห็นถึงความชำนาญ การออกแบบที่ละเอียดถี่ถ้วนและฉนวนกันความร้อนที่ใช้ได้ดี โดยสามารถลดการใช้พลังงานของอาคารเหลือหนึ่งในสิบจากมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งกลุ่มร็อควูลถือเป็นผู้มีส่วนร่วมหลักของโครงการนี้
I/S Kahler & Co ถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1962 โดยการก่อตั้งบริษัทย่อยในหลายประเทศหรือเป็นเจ้าของกิจการเพียงบางส่วนที่ประเทศเดนมาร์ก ประเทศนอร์เวย์ ประเทศสวีเดน และประเทศเยอรมัน หลังจากทศวรรษนั้นยังคงขยายธุรกิจออกไปและได้ทำการเข้าซื้อกิจการโรงงานที่เมืองมอสส์ ประเทศนอร์เวย์ในปี ค.ศ. 1965 และในปีถัดมาได้ดำเนินกิจการโรงงานกรีนฟิลด์ที่เมือง Vamdrup ประเทศเดนมาร์ก โดยหลังจากนั้นเพียง 3 ปี ในปี ค.ศ. 1696 บริษัทได้ลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิกับ FLUMROC AG of Switzerland และได้รับ 16 เปอร์เซ็นต์ของหุ้น
ในปีค.ศ.1962 นั้น ครอบครัวของ Kahler และ Henriksen ได้ตกลงที่จะแยกตัวและจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้น 2 แห่ง ซึ่งต่อมาภายหลัง Jens Norgaard ได้กลายเป็นผู้บริหารสูงสุดของกลุ่ม ROCKWOOL โดยเสนอให้โครงสร้างใหม่ของบริษัทมีกิจกรรมเฉพาะภายในกลุ่มของแต่ละธุรกิจเอง อาทิเช่น ธุรกิจหลุมทราย ธุรกิจคอนกรีตมวลเบา และธุรกิจกระเบื้อง ซึ่งครอบครัว Henriksen ได้เลือกกลุ่มที่พวกเขาต้องการและกิจกรรมของบริษัทก็ได้ถูกแบ่งตามออกไปด้วยเช่นกัน จนในวันที่ 1 มกราคม ปีศ.ศ. 1962 ครอบครัว Kahler ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น I / S Kahler & Co. โดยรับผิดชอบต่อธุรกิจของ ROCKWOOL แต่เพียงผู้เดียว
ผลิตภัณฑ์ฉนวนอะคูสติกที่นำออกสู่ตลาดภายใต้แบรนด์ Rockfon ในปีค.ศ. 1962จนกระทั่งเติบโตกลายเป็นธุรกิจหลักที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ ROCKWOOL และในปีค.ศ. 1968 ได้มีความร่วมมือกันกับ Horticulturist O. Bagge Olsen จนนำไปสู่การพัฒนาใยหินให้กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการเกษตรอย่างมืออาชีพ ตากหลักการของ “Precision Growing” โดยเริ่มสร้างสิ่งนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1969 จนปัจจุบันธุรกิจ Grodan เติบโตออกไปมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก
ในวันที่ 2 เมษายน ปีค.ศ. 1696 นั้น Horticulturist O. Bagge Olsen จาก มหาวิทยาลัย Danish Agricultural หรือ Landbohojskolen เมืองโคเปนเฮเกนได้เข้าพบกับ Svein Melhus Helge Hoyer และ J. Skjold Petersen พนักงานของบริษัทร็อควูลเพื่อหารือเกี่ยวกับการใช้ใยหินเป็นสารเติมแต่งในพืชมอส โดยเป็นเวลาหลายปีที่ O. Bagge Olsen ได้ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างหินและพืชผลต่างๆ และพบว่าพืชสามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีท่อนไม้ของหินบะซอลต์ในดิน โดยโครงการนี้เป็นโครงการพัฒนาร่วมกันและเป็นโปรแกรมทดสอบ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องอย่างผู้ปลูกแตงกวาในท้องถิ่น Viggo Nielsen ซึ่งได้สร้างรากฐานสำหรับการพัฒนาธุรกิจ Grodan ในปัจจุบัน
Claus Kähler เริ่มต้นอาชีพของเขาในปี ค.ศ. 1948 ด้วยการบริหารการผลิตใยหิน การผลิตคอนกรีตมวลเบาและหลุมกรวด ที่ Hedehusene โดยมีลูกจ้างจำนวน 82 คน กับการดำเนินงานทั้งหมดโดยองค์กรเดียว ณ.เวลานั้น จนกระทั่งปี ค.ศ. 1950s เขาได้ตั้งหน่วยงานการผลิตแยกขึ้นมาและสร้างพื้นฐานรองรับการเติบโตของผลกำไรในอนาคต โดยในเดนมาร์กมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นจาก 2.5 ล้าน DKK เป็น 20 ล้าน DKK ภายในระยะเวลา 10 ปีและความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีต่างๆที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก และนั่นทำให้เขากลายเป็นผู้บริหารสูงสุดของ Henriksen & Kahler ในปีค.ศ. 1958 และดำรงตำแหน่งมาเป็นระยะเวลากว่า 22 ปี
ในปี ค.ศ. 1952 ร็อควูลได้รับใบอนุญาตจาก Johns Manville ในประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อใช้เครื่องปั่นด้ายสำหรับการดึงเส้นใย โดยกระบวนการใหม่นี้ใช้หิน diabase แทนที่จะใช้กากแร่ และช่วยให้มีหินก้อนเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ถูกปั่นเป็นเส้นใยน้อยลง อีกทั้งยังมีความหนาแน่นต่ำและเส้นใยที่ได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผลที่ได้คือใยหินของเรามีคุณภาพสูงขึ้นและเป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้น ดังนั้นในปี ค.ศ. 1953 ได้มีการนำเครื่องจักรจำนวน 4 เครื่องมาใช้ ซึ่งผลผลิตที่ได้เพิ่มขึ้นจาก 0.6 ตันต่อชั่วโมงในช่วงต้นทศวรรษของปีค.ศ.1950 จนถึงปัจจุบันนั้นมากกว่า 20 ตันต่อวัน โดยที่ปีค.ศ. 1954 ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยน เนื่องจากการผลิตที่มี binder นั้นสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและปริมาณของแผ่นหินที่ผลิตได้มีมากกว่าผลิตภัณฑ์จากไหมพรมเสียอีก แต่อย่างไรก็ตามนั่นยังคงเป็นส่วนสำคัญของกลุ่มผลิตภัณฑ์ร็อควูลซึ่งต่อมาได้รับสิทธิบัตรครอบคลุมแผ่นลามิเนตสำหรับฉนวนท่อในปี ค.ศ. 1959
ความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับเทคโนโลยีหลักถือเป็นกุญแจสำคัญเสมอมาในการประสบความสำเร็จของร็อควูล ดังนั้นเพื่อสร้างสิ่งนี้ บริษัทจึงก่อตั้งแผนกวิศวกรรมของเราเองที่ Hedehusene โดยเรามีพนักงานจำนวนทั้งสิ้น 5 คน
ร็อควูลจัดตั้งบริษัทย่อยที่ไม่ใช่ชาวสแกนดิเนเวียแห่งแรกในประเทศเยอรมัน โดยในปีค.ศ. 1958 สำนักงานใหญ่ย้ายจากเมืองกอร์ซอร์ ไปยังเมืองเฮเดฮูเซน และยังคงขยายธุรกิจต่อไป จนกระทั่งปีค.ศ. 1959 เราได้เปิดกิจการโรงงานแห่งที่ 2 ที่เมืองทรอนไฮม์ ประเทศนอร์เวย์
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีผู้ตรวจการ Jørgensen เป็นผู้ค้นพบวิธีการใหม่ๆ จากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบที่หาได้ในเวลานั้น โดยที่เขาได้ใช้ถ่านหินพีทแทนการใช้น้ำมันเพื่อให้การผลิตยังคงสามารถทำงานต่อไปได้ และใช้นมไขมันต่ำแทนการใช้น้ำมันสำหรับน้ำเข้ามาแทนที่ อีกทั้งยังใช้ใยกระดาษแทนการใช้ผ้าฝ้ายสำหรับเย็บเสื่อเพื่อหุ้มเส้นใยหิน
Verner Palmquist ร่วมงานกับร็อควูลมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1941 จนถึงปี 1985 ในตำแหน่งช่างไฟฟ้าจนกลายเป็นผู้อำนวยการด้านเทคนิค และหัวหน้าแผนกงานวิจัยและพัฒนา โดยตลอดระยะเวลาการทำงานของเขานั้นเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาของเรา โดยเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้อำนวยการด้านเทคนิค หลังจากมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงที่ประสบความสำเร็จจากการใช้เครื่องเป่าเส้นใย ระบบไอน้ำเพื่อปั่นใยหิน ด้วยความเป็นคนใฝ่รู้ และกระตือรือร้นของเขา จึงได้ทำการทดลอง จนสามารถพัฒนาเส้นใยที่หลวมให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย โดยการนำเส้นใยที่หลวมและฟูนั้นผ่านกรรมวิธีโดยเครื่องขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ และนำมาใช้ในกระบวนการผลิตเส้นใยของเราจนถึงทุกวันนี้
ร็อควูลได้รับใบอนุญาตจาก บอลด์วินฮิลล์ ในการเพิ่มเครื่องปั่นใยหินในกระบวนการผลิต ทำให้เราสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์เราที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ ROCKWOOL สามารถขยายตลาดออกไปอย่างมาก และนี่คือการวางรากฐานอย่างมั่นคงของผลิตภัณฑ์สืบต่อมาในปัจจุบัน
ในปีค.ศ. 1948 นั้น นายกุสตาฟ เฮลา ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท I/S Henriksen & Kahler และลูกชายของเขา ฟลาวส เฮลา ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการ มีหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินกิจการของบริษัท หลังจากนั้นเป็นเวลา 10 ปี ฟลาวส เฮลา ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารสูงสุดปี ค.ศ. 1915 นายกุสตาฟ ได้เริ่มต้นการทำงานของเขาที่บริษัท I/S Henriksen & Kahler ซึ่งเป็นบริษัทบิดาของเขา นายเวลเดอมาร เฮลา ในฐานะวิศวกรโยธา และเขาได้ทำงานอยู่ที่บริษัทนี้จนกระทั่ง ได้มีการริเริ่มการผลิตใยหิน และเขาประสบความสำเร็จตามรอยบิดาในปีค.ศ. 1916 บทบาทสำคัญอย่างยิ่งของเขาคือ การขยายธุรกิจไปในประเทศต่างๆ หรือ ภูมิภาคใหม่ๆ อย่างกว้างขวางได้ทั่วโลก เช่นเดียวกับว่า ธุรกิจของเขาสามารถขยายไปยังตามจุดภูมิที่มีหิน เนื่องจากว่าหินถือเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ทั่วโลก
บริษัท I/S Henriksen and Kähler ได้รับใบอนุญาตสำหรับการผลิตเส้นใยหินในประเทศเดนมาร์ก ประเทศนอร์เวย์ ประเทศสวีเดน และประเทศเยอรมัน ตลอดจนในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มลรัฐนิวเจอร์ซี รวมถึงบริเวณ บอลด์วินฮิลล์ ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียอีกด้วย โดยเวลานั้นกระบวนการผลิตจำเป็นต้องใช้ไอน้ำสำหรับการผลิตเส้นใย และนำเส้นใยที่ได้มาขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ และเราได้ใช้กระบวนการผลิตดังกล่าวมาเป็นระยะเวลากว่า 17 ปีก่อนที่จะนำเทคโนโลยีการปั่นมาใช้แทนที่กระบวนผลิตแบบเดิม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นาย ฟินน์ เฮนไรสซัน บุตรชายของนาย เฮนส์ จอรน์ เฮนไรสซัน นักอุตสาหกรรม เริ่มต้นคิดค้นการผลิตใยหินภูเขาไฟครั้งแรก โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจาก การเห็นใยหินที่เย็นตัวลงของลาวาที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟ ระหว่างการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และหลังจากที่เขาเดินทางกลับไปยังประเทศเดนมาร์ก เขาจึงได้เข้าร่วมกับบริษัท I/S Henriksen and Kähler เป็นบริษัทที่ผลิตใยหินโดยการเลียนแบบการปะทุของหินภูเขาไฟ ถูกก่อตั้งขึ้นระหว่างพ่อของเขา นาย เฮนส์ จอรน์ เฮนไรสซัน และ นายเวลเดอมาร เฮลา โดยมีทุนเริ่มจำนวนเงินกว่า 5,000 เหรียญสหรัฐ สำหรับการขออนุมัติใบอนุญาต ในการผลิตใยหินโดยการใช้เทคโนโลยี ของบอลด์วินฮิลล์ ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งทั้งหมดนี้คือ จุดเริ่มต้นของกระบวนการผลิตใยหินของร็อควูล
ในปีค.ศ. 1937 มีการเริ่มการผลิตใยหินภูเขาไฟร็อควูลจากโรงงานผลิตใยหินที่เมืองเฮเดฮูเซน ประเทศเดนมาร์ก แต่ในปีถัดมา คือปีค.ศ. 1938 โรงงานเกิดประสบอัคคีภัยขึ้น จึงได้ทำการสร้างขึ้นมาใหม่ในปีเดียวกันนี้ ส่วนทางด้านเมือง สโกวเดน ประเทศสวีเดนและเมือง ลาร์วิก ในประเทศนอร์เวย์นั้น ได้มีการเริ่มกระบวนการผลิตใยหินภูเขาไฟร็อควูล ในปี ค.ศ. 1938 เช่นกัน และในปี ค.ศ. 1939 ความสามารถในการผลิตใยหินภูเขาไฟร็อควูล เฉพาะการผลิตที่โรงงานในเมืองเฮเดฮูเซนโรงงานเดียว สามารถผลิตได้มากถึง 2,000 ตันต่อปี